วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หนังชนโรง: Transformers: The Last Knight ยิ่งใหญ่บนความว่างเปล่า








หนังชนโรง:  Transformers:  The Last Knight


ค.ศ.484 ยุคมืดของอังกฤษ กษัตริย์อาเธอร์นำกองทัพอันน้อยนิด เข้าทำสงครามกับพวกเคลท์ ในขณะที่จะเพลี่ยงพล้ำ เวทมนตร์แห่งพ่อมดเมอร์ลินก็ได้แสดงพลังและนำชัยชนะมาสู่กษัตริย์อาเธอร์ได้ 
กลับมายุคปัจจุบัน ในขณะที่ออพติมัส ไพรม์ออกตามหาผู้สร้างในห้วงอวกาศอันไพศาล  บนโลกได้มีการตั้งหน่วย TRF ขึ้นตามล่าทั้งฝ่ายออโตบอทส์และดิเซปติคอนส์เพื่อความสงบสุขของโลก และเคด เยเกอร์ถูกขึ้นทะเบียนตามล่า 
เคดได้เข้าไปช่วยออโตบอทส์โบราณซึ่งก่อนตายได้มอบศิลาศักดิ์สิทธิ์ให้  ซึ่งมันคือสิ่งที่จะนำไปสู่คธาแห่งเมอร์ลิน พลังอำนาจที่ทั้งฝ่ายมนุษย์, ดิเซปติคอนส์ และผู้สร้างต้องการ เคดถูกนำเข้าสู่ตำนานแห่งนักรบคนสุดท้ายผู้ที่จะช่วยกอบกู้โลกจากภัยพิบัติ และใครคือนักรบคนสุดท้าย?



แม้จะประกาศว่าไม่กำกับอีกแล้ว แต่จนถึงป่านนี้คงไม่มีใครเชื่อคำพูดของ ไมเคิล เบย์  เพราะในที่สุดเจ้าตัวก็ยังกลับมาทำหน้าที่ผู้กำกับหนังหุ่นแปลงร่างซึ่งปาเข้าไปเป็นภาคที่ 5 แล้ว  แน่นอนสำหรับติ่งของเฮียเบย์คงพอใจกับเครื่องหมายการค้าไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพเคลื่อนกล้อง 360 องศา, แอ็คชั่นสโลว์โมชั่น, การตัดต่อภาพทุกสามวินาที, ฉากแอ็คชั่นวินาศสันตะโร ประมาณระเบิดภูเขาเผาตึก และขาดไม่ได้กับช็อตเท่ ๆ ภาพย้อนแสงที่ตัวละครสำคัญจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนหยัด  จนอดคิดไม่ว่าได้ถ้าเป็นคนอื่นมากำกับต่อ อาจมี Vision ใหม่ ๆ ให้ได้เห็น เพราะห้าภาคนี่ก็ชินตาแล้ว แต่อีกใจก็อยากให้เฮียเขากำกับต่อไป เพราะคงไม่มีใครรู้จักรู้ใจหนังเรื่องนี้เท่ากับเฮียเบย์


ใน The Last Knight เฮียเบย์ยังคงจัดเต็มแบบแพ็คเก็จ เพราะมีทั้งฉากสงครามยุคอัศวินอาเธอร์, ฉากต่อสู้เล็ก ๆ กับพวกนาซี และฉากสำคัญสงครามระหว่างออโตบ็อทส์กับดิเซ็ปติคอนส์ที่คราวนี้เกาะอังกฤษไม่รอด เมื่อดูผลงานย้อนหลังจนถึงตอนนี้ เฮียเบย์ก็จัดเป็นผู้กำกับที่ชอบทำลายล้าง Landmark สำคัญ ๆ ตัวพ่อกับเขาเหมือนกัน  (ตำแหน่งคนทำหนังหายนะของโรแลนด์ เอ็มเมอริชมีคู่แข่งแล้ว)  แต่ที่เห็นจะต่างออกไปจากภาคก่อน ๆ คือการเปลี่ยนทิศทางของหนังโดยให้ความสำคัญของมนุษย์ที่อยู่ในเรื่องมากกว่าหุ่นยนต์ (ภาคก่อน ๆ มนุษย์เป็นแค่ตัวประกอบมากกว่าจะเป็นตัวละครนำ) หลาย ๆ สถานการณ์ในหนังจึงเป็นเรื่องมนุษย์ที่ต้องหาทางทำภารกิจ 




และก็น่าจะเป็นความตั้งใจที่คราวนี้ผู้นำแห่งออโตบอทส์ อ็อพติมัส ไพรม์ โดนลดบทบาทและเปลี่ยนเป็นตัวร้าย (แต่จะเพราะอะไรไปดูในหนังกันเอาเอง) และก็ดันบับเบิลบีมาเป็นตัวเด่นในภาคนี้ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลทางการตลาดที่ต้องการปูทางก่อนนำไปสู่หนังแยกเดี่ยวของบับเบิลบีในปีหน้า   ในขณะเดียวกันบรรดาไดโนบอทส์ในภาคก่อนก็ถูกลดบทบาทจนกลายเป็นตัวประกอบไปด้วยเหมือนกัน

าร์ค วอห์ลเบิร์ก กลับมารับบทเดิม เคด เยเกอร์ ที่คราวนี้กลับมาในลุคหนุ่มมาดเซอร์   เรื่องแอ็คชั่นพี่มาร์คของเรายังเป็นที่ไว้ใจได้ พอ ๆ กับออร่าของความเป็นพระเอกที่เรียกร้องให้คนดูยืนเคียงข้าง  ครั้งนี้คนดูมีโอกาสได้เห็นมุมละครหลังข่าวจากเคด แบบหนุ่มห้าวสาวหยิ่ง ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่แปลกตาไปจากเดิม  ล่าสุดพี่มาร์คประกาศว่านี่คือภาคสุดท้ายของตนแล้ว และตนเองเกลียดการไว้ผมยาวมาก ๆ แต่อย่าเพิ่งถอดใจอะไรก็เป็นไปได้หมดในฮอลลีวู้ด
เซอร์แอนโธนี ฮ็อปกินส์ เป็น เซอร์เอ็ดมุนด์ เบอร์ตัน คงอยากเพิ่มเครดิตหนังบล็อกบัสเตอร์ในประวัติการทำงานอีกสักเรื่อง สำหรับปู่ฮ็อปกินส์ (ผลงานในเครดิต Thor, Mission:  Impossible 2, The Mask of Zorro, Dracula, The Silence of the Lambs, Hannibal, Red Dragon) ปู่สวมบทเป็นเซอร์เอ็ดมุนด์ได้เนียนตา ดูมีชีวิตชีวา และทรงอำนาจเมื่อจำเป็น  นี่คือตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ แถ เหตุผลกับคนดูว่า เหล่าทรานฟอร์เมอร์สอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของโลกใบนี้มาโดยตลอด  รวมไปถึงเหตุการณ์ในภาค 1-4 อีกด้วย



ตัวละคร ผู้พัน วิลเลียม เล็นนอกซ์ ของ จอช ดูฮาเมล ที่ในภาคสี่หายหน้าไป กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในภาคนี้ เป็นตัวละครที่กลับมาโดยไม่ได้บอกกับคนดูว่าหายไปไหน แต่กลับมาคราวนี้ผู้พันเล็นนอกซ์ย้ายฟากไปตามล่าพวกออโตบ็อทส์แทนซะงั้น

หน้าใหม่ในภาคนี้ประกอบด้วย ลอรา  แฮ็ดด็อกเป็น วิเวียน เว็มบลีย์ เรียกได้ว่าเป็นนางเอกประจำภาคนี้เลย  แคแร็กเตอร์วิเวียนมีดีกรีเป็นระดับด็อกเตอร์จากอ๊อกฟอร์ด เก่งกีฬา หุ่นดี แต่ไม่มีแฟน แต่มีประวัติบางอย่างเกี่ยวพันกับอัศวินโต๊ะกลมและทรานส์ฟอร์เมอร์สในอดีต  เคมีระหว่างพี่มาร์คกับน้องลอรามีให้ได้ลุ้นเล็ก ๆ  แฮดด็อกเคยมีผลงานก่อนหน้านี้คือการรับบทแม่ของสตาร์ลอร์ดใน Guardians of the Galaxy
อิซาเบลลา โมเนอร์ เป็น อิซาเบลลา เด็กสาววัยทีนที่พ่อแม่ถูกพวกดิเซปติคอนส์ฆ่าตาย เธอสามารถสื่อสารและช่วยซ่อมแซมให้พวกออโตบอทส์ได้อีกด้วย   จึงเปรียบเสมือนผู้ช่วยของเคด 


เจอร์ร็อด คาร์ไมเคิล เป็น จิมมี่ ตัวละครภาคบังคับที่ต้องมีในหนังทุกภาค มีไว้เพื่อทำหน้าที่ 1.ชงมุกฮา (ส่วนจะปังหรือแป้กก็ว่ากันไป) 2.วิ่งหนีกระสุนไปบ่นไป



ตัวละครหน้าเก่าจากภาคก่อน ๆ ที่กลับมาปรากฏตัว แสตนลีย์ ทุคชี เป็น เมอร์ลิน ซึ่งไม่ได้มีนัยยะอะไรกับ โจชัวร์ ตัวละครที่ทุคชีแสดงในภาคก่อน Age of Extinction

จอห์น เทอร์เทอร์โร เป็น เอเจนท์ ซิมมอนส์ หัวหน้าหน่วยงานเซ็คเตอร์ 7 ที่ถูกยุบไป การปรากฏตัวอีกครั้งของเอเจนส์ซิมมอนส์ที่ทำให้แฟนประจำหายคิดถึง และมาเรียกเสียงฮา (รึเปล่า?)

ใครที่ดูก็คงต้องตามดูกันอีกภาคจนได้  รอบที่ผู้เขียนไปดูก็คนเกือบเต็มโรงหนัง (ดูรอบเช้า 10.30 น.) แถมพอออกมาก็เห็นโรงหนังเต็มไปด้วยคนที่มารอดูรอบถัด ๆ ไป  มั่นใจได้เลยว่า The Last Knight ติดอันดับหนังทำเงินเกินร้อยล้านบาทในบ้านเราแน่ (แต่จะไปแตะที่เท่าไรก็ไปลุ้นกันอีกที) แต่โดยความเห็นส่วนตัว ผู้เขียนคิดว่า The Last Knight เป็นงานที่ตระการตา ยิ่งใหญ่ในส่วนทุนสร้างและฉากแอ็คชั่น  แต่มันว่างเปล่าในแง่ความสนุกชวนติดตามเหมือนที่ภาคก่อน ๆ เคยมี 
ท้ายเอ็นทรี่ ผู้เขียนแถมรีวิวภาคก่อน ๆ ในแบบ Time line ให้ผู้อ่านได้นึกย้อนกัน จะเห็นได้ว่า หนังมันขัดแย้งกันชอบกลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ถือว่าแลกเปลี่ยนมุมมองก็แล้วกันครับ
สถานการณ์มักเป็นตัวกำหนดความสำคัญของบุคคล แต่การกระทำของบุคคลนั้นจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นสำคัญกับสถานการณ์เหล่านั้นหรือไม่

หุ่นยนต์ใน Transformers:  The Last Kinght

Autobots



 




 



Decepticons  & Creators
 



Creator:  Quintessa














Transformers:  The Last Knight  (2017)  Directed:  Michael Bay/Starring:  Mark Wahlberg, Josh Duhamel, Stanley Tucci, Anthony Hopkins, Luara haddock, Isabela Moner, John Turturro/Screenplay:  Art Marcum, Matt Holloway, Ken Nolan/Story:  Akiva Goldsman, Art Marcum, Matt Holloway, Ken Nolan/Based on Transformers by Hasbro/Music:  Steve ablonsky/Director of Photography:  Jonathan Sela/Edited:  Mark Sanger, John Refoua Adam Gerstel/Distributed:  Paramount Pictures/Running time:  149 Mins./Rated:  PG-13

Trailer:  https://www.youtube.com/watch?v=qf5sIaPcyJ0  by UIP Thailand

ขอบคุณที่มาข้อมูล:  IMDb, Wikipedia, Youtube, Rotten Tomatoes, UIP Thailand

Timeline ชวนมึนตึ้บกับ Transformers




ตัวละครเซอร์เอ็ดมุนด์ เบอร์ตัน ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพยายามล้างประวัติศาสตร์สับสนและยุ่งเหยิงหนัง Transformers ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคล่าสุด  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ลองมาดูกัน และเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผู้เขียนขออนุญาตใช้คำย่อดังนี้

AB = Autobots ออโตบอทส์  หุ่นยนต์ฝ่ายพระเอก  DC = Dicepticons ดิเซปติคอนส์ หุ่นยนต์ฝ่ายผู้ร้าย และ CT =  Creators เหล่าผู้สร้าง
Transformer (2007) เป็นครั้งแรกที่คนดูได้ทำความรู้จักกับเหล่า AB หุ่นยนต์ฝ่ายดี และ DC หุ่นยนต์ตัวร้าย ทั้งสองฝ่ายเดินทางมาสู่โลกโดยมีเป้าหมายคือตามหาออลสปาร์ค กล่องพลังงานอันมหาศาล แซม วิทวิกกี้ เป็นคนพบบับเบิลบีก่อนจับพลัดจับผลูกับมิเคล่าได้เจอกับออพติมัส ไพรม์ (พร้อม ๆ กับคนดู) เข้าไปอยู่ในสงครามหุ่นยนต์  และคนดูก็พบว่าเคยมีการเก็บซากเอเลียนส์ต่างดาวและแช่แข็งไว้ซึ่งนั่นก็คือ เมกาตรอน  จนในที่สุดโลกก็เริ่มรู้เลา ๆ ว่ามีหุ่นยนต์ต่างดาวลงมาที่โลก แต่รัฐบาลพยายามปิดข่าว




Transformers:  Revenge of the Fallen (2009) มาถึงในภาคสองที่กลายเป็นต้นแบบที่หนังจะต้องเล่าเรื่องราวในอดีตก่อนเข้าเส้นเรื่องหลัก  คราวนี้ไปเกิดขึ้นในยุคสร้างพิรามิด  เดอะ ฟอลเล็นคืออาจารย์ของเมกาตรอนที่ลงมาบนโลกและใช้แรงงานมนุษย์สร้างพิรามิดเพื่อดึงพลังงานแสงอาทิตย์จากเอ็นเนอยอนมาครอบครองโลก  แต่ถูกเหล่าไพรม์ทั้งเจ็ดขัดขวาง และซุกซ่อนแมททริกซ์แห่งผู้นำไว้ในตำนาน คราวนี้คนดูเลยพบว่า AB และ DC เคยลงมาแล้วเมื่อ 17,000 ปีก่อนคริสตกาล พอหนังกลับสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน แซมกับมิเคลลาถูก DC ตามล่าเพราะแซมมีกุญแจนำไปสู่เอนเนอยอนได้  ทีนี้เลยไปเกี่ยวกับตำนานโบราณของอียิปต์ และเหตุผลว่าทำไมยอดพิรามิดถึงหายไป  และยังจำได้ไหมว่าพวกแซมไปที่พิพิธภัณฑ์เครื่องบินโบราณ แล้วเจอ ดีวาสเตเตอร์ DC โบราณที่ปลอมเป็นเครื่องบินB52 ผู้ที่รู้เรื่องราวของเดอะฟอลเลนเป็นอย่างดี แสดงว่า AB และ DC ก็เคยอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ด้วยอีกนะ

Transformer:  Dark of the Moon (2011)  ภาคที่สามเปิดตัวในปี 1961 ด้วยเหตุการณ์ลงสัมผัสดวงจันทร์เป็นครั้งแรกของ นีล อาร์มสตรอง กับยานอพอลโล 11 แต่แท้จริงแล้วมีปฏิบัติการลับแฝงไว้คือ การพยายามปกปิด เดอะ อาร์ค ยานเอเลียนส์ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นของ AB  และภายในยานนั้นมี เซนติเนล ไพรม์ ผู้นำคนก่อนหน้าออพติมัส ไพรม์  ซึ่งในที่สุดก็ถูกปลุกขึ้นมาในเวลาปัจจุบัน  ก่อนที่ทั้งหมดจะพบว่า เซนติเนล ไพรม์ สมคบคิดกับ เมกาตรอนเพื่อเปลี่ยนโลกมนุษย์ให้เป็นดาวจักรกลแบบไซเบอร์ตรอน  โดยใช้แท่งเสาทั้งหมดที่อยู่ในเดอะ อาร์ค เป็นประตูเชื่อมมิติ  แซมเปลี่ยนแฟนใหม่เป็นคาร์ลี่ ซึ่งเป็นเลขาฯของนักธุรกิจ ไดแลน ซึ่งเป็นมนุษย์ฝ่ายร้าย และไดแลนได้บอกว่าตระกูลเขารับใช้ DC มาหลายชั่วอายุคนแล้ว (อ้าว!) ทีนี้กลายเป็นว่า DC ก็คงมาโลกมนุษย์ตลอดเวลาสิ


Transformers:  Age of Extinction (2014) แต่ที่เหวอมากที่สุดก็คือฉากเปิดต้นเรื่องที่บอกเล่าว่า เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ได้เคยมีเหล่าผู้สร้างเดินทางมายังโลกและทดลองทิ้งระเบิดเพื่อเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นจักรกล   เลยทำให้มีพวก AB รุ่นดึกดำบรรพ์ที่แปลงร่างจากไดโนเสาร์  คราวนี้หนังก็เริ่มไปไกล นอกเหนือไปจาก AB และ DC ตอนนี้เพิ่มเหล่าผู้สร้างมาอีกนำทีมโดย ล็อกดาวน์ ซึ่งไม่ได้เป็นทั้งฝ่าย AB หรือ DC  และคนดูก็พบว่าผู้สร้างคือคนที่สร้างทั้ง AB และ DC  ซึ่งเป็นเรื่องที่อ็อพติมัส ไพรม์ไม่เคยรู้มาก่อน  ตอนท้ายคนดูเลยเห็นออพติมัส ไพรม์เดินทางสู่ห้วงอวกาศเพื่อตามหาผู้สร้าง


บทความต่อไปนี้จำเป็นต้องเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Transformers:  The Last Knight ถ้าไม่ต้องการทราบรายละเอียดในหนังเพื่ออรรถรสในการชม โปรดกลับมาอ่านภายหลัง



Transformers:  The Last Knight (2017)  มาถึงภาคล่าสุด หนังเปิดเรื่องใน ค.ศ. 484 ยุคอัศวินของกษัตริย์อาเธอร์ ที่ทำสงครามกับพวกเคลท์ และมีชัยได้เพราะพลังของ AB  คราวนี้หนังเลยไปเกี่ยวกับตำนานของพ่อมดเมอร์ลิน  ส่วนออพติมัส ไพรม์เดินทางไปพบผู้สร้าง ซึ่งกลายเป็นว่าสถานที่นั้นคือดาวไซเบอร์ตรอน ดาวบ้านเกิดที่แปรเปลี่ยนเป็นรกร้าง ออพติมัส ไพรม์ไม่เข้าใจว่าทำไมดาวบ้านเกิดของตนจึงกลายสภาพเป็นแบบนี้ แต่คนเขียนบทอาจลืมไปว่า ตอนที่ออพติมัส ไพรม์เดินทางมาโลก เขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าดาวไซเบอร์ตรอนสูญสลายไปแล้ว  และเหล่าอัศวิน AB ในอดีตก็แอบเอาคธาศักดิ์สิทธิ์หนีมาซ่อนไว้ที่โลกให้พ้นจากเงื้อมมือของ ควินน์เทสซา ผู้สร้าง AB และ DC แผนการร้ายของควินน์เทสซาคือเปลี่ยนโลกมนุษย์ให้กลายเป็นไซเบอร์ตรอน (อีกแล้ว)

เฮียเบย์เป็นคนเข้าไปบอกกับ แบรด เกรย์ ซีอีโอของพาราเมาท์ว่าเฟรนไชส์นี้มาสุดซอยแล้ว และถ้าจะไปต่อคือต้องทุ่มเงินหลายล้านเหรียญเพื่อสร้างทีมเขียนบทขึ้นมา จะไม่มีการเขียนบทหนังเสร็จแล้วออกกองถ่ายอีกต่อไป นั่นทำให้ อากิวา โกลด์สแมน เป็นหัวหน้าพร้อมทีมเขียนบทอีก 14 คนร่วมกันสร้างจักรวาลทรานส์ฟอร์เมอร์สขึ้นมา  จนเกิดข่าวลือกันว่า มีบทหนังมากถึง 14 เรื่อง! ซึ่งมี 2-3 เรื่องที่ถูกผสมผสานจนกลายเป็นบทหนัง The Last Knight อย่างที่เห็น บทหนังนำเดี่ยวของบับเบิลบี (ที่จะออกฉายในปี 2018) และแอนิเนชั่นที่เล่าเรื่องราวเมื่อ 14,000 ปีก่อน การกำเนิดดาวไซเบอร์ตรอน

ทีมเขียนบทเองก็คงเห็นว่า Timeline มันพัลวันสับสนไปหมด จนหาไม่เจอว่าครั้งแรกของ AB และ DC คือเมื่อไรกันแน่ แถมระหว่างทางก็ไปอ้างเหตุการณ์โน้นนี้นั้นในประวัติศาสตร์ของโลกอีก  อย่ากระนั้นเลย เซอร์เอ็ดมุนด์ เบอร์ตันเลยมีหน้าที่เล่า (แถ) ให้คนดูได้เข้าใจว่า ทุก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มี AB/DC อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนั่นแหละ จบนะ!


แต่จะโดยบังเอิญหรือตั้งใจก็ไม่รู้ มันกลายเป็นตลกร้ายเกี่ยวกับ  รัฐบาลและการเมืองเรื่องเห็นแก่ตัว มันปรากฏในหนังทุกภาค ทั้ง ๆ ที่ทุกภาคเหล่า AB ก็สละชีวิตตนเองปกป้องพวกมนุษย์ แต่พวกมนุษย์ (ในทีนี้คือรัฐบาล) พร้อมที่จะหักหลัง หรือแม้กระทั่งไล่ล่าฆ่าให้ตายเหล่า AB เสมอ  ไม่ว่าจะเพื่อตนเอง หรือเพื่อผลประโยชน์ก็ตาม  จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมออพติมัส ไพรม์ถึงหมดศรัทธาในตัวมนุษย์ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  แต่ก็มีแสงริบหรี่ในความมืดที่มาจาก แซม (ในสามภาคแรก) และ เคด (ในภาคสี่และห้า) ที่เป็นตัวแทนของภาคประชาชน คอยส่องแสงให้เห็นด้านดีของมนุษย์ที่พร้อมจะเชื่อมั่นในมิตรภาพเสมอ

ขอบคุณที่มาภาพประกอบ:  Screen Rant, Transformer World 2005, CBR.com, geektyrant.com, cgmeetup.net, Seibertron.com, Maxim, cinemavine.com, movpins.com, Variety, comicbookmovie.com, The Art of VFX, twitter.com, slashfilm.com, digitalspy.com, CinemaBlend, GeekTyrant, The Sun, news.tfw2005.com, JoBlo.com, Wikipedia, SPYHollywood, Roger Ebert


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น